วันเสาร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2554

มารยาททางกายแบบไทย

มารยาททางกายแบบไทย
๑. ถ้าต้องนั่งกับพื้นต่อหน้าผู้ใหญ่ต้องนั่งพับเพียบโดยกิริยาสำรวมนั่งทรงตัวตรงเก็บเท้าทั้งสองข้างชิดตัวเรียบร้อย
ไม่เกะกะ วางมือทั้งสองข้างชิดตัวเรียบร้อยไม่เกะกะ วางมือทั้งสองไว้บนตัก หันหน้าไปสู่ผู้ใหญ่ในลักษณะหน้าเงย
๒. ไม่นั่งล้ำหน้าผู้ใหญ่ ไม่หันหลังให้ผู้ใหญ่ ไม่เหยียดเท้าให้ผู้ใหญ่
๓. ไม่ถือสาวิสาสะใช้หรือรับประทานของที่เขาจัดไว้สำหรับผู้อื่นโดยเฉพาะ
๔. ไม่ล้อเลียนผู้ใหญ่หรือผู้ที่สูงอายุกว่าตน
๕. ในงานพิธีใดที่เขาจัดเก้าอี้ให้แขกนั่ง เมื่อเห็นผู้ใหญ่ต้องยืนเพราะไม่มีที่นั่ง ผู้มีมารยาทดีควรลุกนั่งหรือหา
ที่นั่งเพิ่มเติมให้
๖. เมื่อต้องการจะดูสิ่งใดที่ผู้ใหญ่หรือผู้อื่นกำลังดูอยู่ เมื่อเขาไปทีหลังเขา อย่าเบียดแทรกเข้าไปหรือผู้อื่นข้างหน้า
ต้องดูโดยมิให้เป็นการผ่านหน้าหรือบังตาผู้อื่น
๗. ก่อนจะช่วยเหลือทำสิ่งใดโดยจำเป็นจะต้องแตะต้องร่างกายผู้ใหญ่ให้ดี ผู้อื่นก็ดี
ควรกล่าวคำขอโทษเสียก่อนแล้วจึงช่วยเหลือ เช่น ปัดมด หรือหยิบผงออกจากตัวให้ เป็นต้น
๘. เมื่อเห็นสิ่งของ ๆ ผู้ใดตก หรือของนั้นจะเสียหายโดยเจ้าของไม่รู้ตัว ควรจะบอกให้เจ้าของทราบทันที
๙. ผู้มีมารยาทดีย่อมไม่ล้วง แคะ แกะ เกา หรือหาวเรอต่อหน้าผู้อื่น แม้จะไอจามก็ต้องใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากให้
เสียงค่อยลง และไม่ให้ผู้อื่นรังเกียจหรือรำคาญ
๑๐. เวลารับของจากผู้ใหญ่ ควรแบมือออกรับอย่าฉวยกระชากมาโดยแรง หรือถ้าเป็นของยาวควรแบมือรองรับของนั้น
ถ้าเป็นของหนัก ก็ใช้มือทั้งสองรองรับของนั้นจากมือของผู้ใหญ่
http://www.raneenoi.com/superpage5/pic%20su.5/01_84%5B1%5D.jpg

การไหว้
การไหว้เป็นประเพณีไทยโบราณ เป็นวิธีเคารพแก่ผู้ควรเคารพ จึงควรเลือกใช้ให้เหมาะแก่กาละเทศะ
๑. การไหว้มีหลายวิธี มีทั้งนั่งไหว้ยืนไหว้ เพื่อเคารพบุคคลธรรมดาที่เป็นผู้ใหญ่กว่าตน
ก. วิธีนั่งไหว้ นั่งพับเพียบพนมมือทั้งสองข้างขึ้นไว้ระดับอก ก้มศีรษะลงให้หัวแม่มือจรดกันที่หว่างคิ้ว
ข. วิธียืนไหว้ ถ้าจำเป็นต้องไหว้เพราะอยู่นอกสถานบ้านเรือน เมื่อพบคนที่ต้องเคารพตามหนทางก็ให้พนม
มือทั้งสองยกขึ้นระดับอก ก้มศรีษะลงจนหัวแม่มือจรดกันหว่างคิ้ว

๒. การรับไหว้ เมื่อมีผู้ทำความเคารพให้แก่เรา ควรรับไหว้คือเคารพตอบเพื่อมิให้เสียมารยาท หรือทำให้ผู้แสดงความเคารพต้องกระดากใจ หรือโกรธจนเป็นเหตุให้นึกไม่อยากจะเคารพต่อไปได้
วิธีรับไหว้ ยกมือทั้งสองประนมไว้ระดับอก แล้วยกขึ้นให้สูงมากหรือน้อยตามฐานะของผู้ไหว้ และของผู้รับไหว้

๓. วิธีนั่งลงศอก เป็นวิธีเคารพผู้ใหญ่ที่มีอาวุโสสูงมากอีกแบบหนึ่ง ในเวลานั่งพับเพียบอยู่กับพื้น ในเมื่อผู้เป็น
ใหญ่มานั่งพูดคุยด้วย ครั้นจะนั่งพับเพียบตัวตรง ๆ ก็รู้สึกว่าเคารพไม่พอ จึงก้มตัวลงให้แขนทั้งสองวางลงบน
ตักมือประสานกันเงยหน้าขึ้น ในโอกาสที่ต้องพูดโต้ตอบหรือนั่งเฉย ๆ เงยหน้าพอควรถ้ามิได้พูดโต้ตอบกับผู้ใหญ่

๔. เมื่อนั่งเก้าอี้อยู่ ถ้าผู้สูงศักดิ์หรือผู้ที่เราเคารพอย่างสูงมายืนหรือนั่งพูดอยู่ใกล้ ๆ เราจะนั่งอย่างเคารพในลักษณะทอดศอกลงบนเข่าของเรามือประสานกัน พูดโต้ตอบกับท่านก็ได้ ดีกว่านั่งเก้าอี้
ตัวตรงเฉยเสีย ห้อยเท้าให้ชิดกันแลเก็บเท้าให้ชิดกับเก้าอี้ให้มากที่สุด

๕. การกราบ
วิธีกราบ นั่งในท่าหมอบพนมือให้ชิดกันลงบนพื้นไว้ข้างหน้า ก้มศรีษะละกับพื้นให้หว่างคิ้วจรดนิ้วหัวแม่มือ
กราบหรือหมอบกราบจะกระทำให้แก่ผู้ทรงศักดิ์ เจ้านาย และอาวุโส และกราบครั้งเดียวโดยไม่แบมือลงกับพื้น

๖. การคลาน
วิธีคลาน เป็นการเคลื่อนตัวผ่านคนมาก ๆ ซึ่งกำลังนั่งอยู่กับพื้น หรือมีผู้อาวุโสที่นั่งอยู่กับพื้น ประเพณีของเราสอนกันไว้ว่าผู้มีมารยาทดีย่อมไม่เดินกรายหัวคน
วิธีคลานมีหลายชนิด การคลานคือใช้กระดูกหัวเข่าเคลื่อนออกไปแทนใช้เท้าเดิน
ก. คลานเข่า ใช้มือทั้งสองวางแบลงกับพื้นพยุงตัวไว้ นั่งคุกเข่าชิดกับพื้น กระดกนิ้วเท้ายันกับพื้นให้ตรงเท้าแขนทั้งสองให้มือแบยันพื้นจนสุดแขนแลตามด้วยเข่าซ้ายสลับกันไปถึงจุดหมายปลายทาง
ข. คลานเข่า คือคู้เข่าให้หัวเข่าทั้งสองข้างเคลื่อนไปข้างหน้า สลับเข่าซ้ายทีหนึ่งขวาทีหนึ่งแทนใช้เท้าเดินไม่ต้องใช้มือช่วยพยุงตัวแบบคลานสี่ขาอย่างข้อ ก. แต่การคลานแบบนี้ไม่สู้เป็นที่นิยมถือว่าไม่สุภาพเท่ากับคลานสี่ขาอย่างข้อ ก.
ค. คลานยกของมือเดียว ใช้เฉพาะพระมหากษัตริย์แลเจ้านาย แลผู้ทรงอาวุโส
คลานยกของสองมือ ( คลานโขยก )
มือทั้งสองถือของคุกเข่าแล้วตั้งเข่าขึ้นข้างหนึ่งให้ตรง สืบเท้าข้างหนึ่งไปข้างหน้าโดยการขยับตัว ( โขย่างตัวขึ้น ) แล้วเปลี่ยนเข่าอีกข้างหนึ่งตั้งขึ้นสลับกันไปจนถึงจุดหมาย
ง. คลานศอก คือคลานเข่าอย่างธรรมดา แต่งอศอกให้ลำแขนท่อนล่างทอดไปตามพื้นให้ศอกเลื่อนไปข้างหน้าแทนมือ แขนและขาจะเคลื่อนไปพร้อม ๆ กัน

๗. การยืน
เป็นอิริยาบถที่ใช้กระดูกส่วนยาวของขาแลหัวเข่าทุกส่วนช่วยกระดูกเชิงกราน กระดูกสันหลังพร้อมด้วยศีรษะขึ้นให้ตรงเพื่อให้น้ำหนักลงมาอยู่ที่ปลายเท้าสองข้างในเวลาตั้งตัวขึ้นตรง
การเคารพในท่ายืน มีดังนี้
ยืนเคารพธงชาติ เป็นสัญญลักขณ์ประจำชาติซึ่งเป็นที่รักแลหวงแหนของประชาชนผู้เป็นเจ้าของชาตินั้น ๆ ทั่วโลก ฉะนั้นเวลาเชิญธงชาติขึ้นเสาแลลงจากเสาทุกวัน เราจึงหยุดเคารพเป็นกิจวัตรประจำวันของประชาชนที่ได้เห็นแลได้ยินเพลงชาติบรรเลงตามเวลาที่เชิญธงชาติขึ้นหรือลง
๑. ในพิธีต่าง ๆ เมื่อเห็นคนเชิญธงชาติผ่านหน้า เราต้องยืนขึ้นเพื่อทำความเคารพทุกครั้ง ธงชาติเป็นสัญญลักษขณ์
อันศักดิ์สิทธิ์ของชาติ ในเมื่อข้าราชการหรือประชาชนคนใดบำเพ็ญประโยชน์ให้แก่ชาติต้องเสียชีวิตในระหว่างปฏิบัติราชการ รัฐบาลจะใช้ธงชาติคลุมศพเพื่อให้เกียรติอย่างสูง
๒. ในทันทีที่ได้เห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหรือสมเด็จพระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินมาถึงในงานพิธีต่าง ๆ เราต้องยืนตรงเพื่อถวายความเคารพ หรือเวลาเราอยู่บนถนนก็เช่นเดียวกัน คือรีบหันหน้าไปทางที่เสด็จ ฯ ผ่านแล้วหยุดยืนตรงเพื่อถวายความเคารพหรือจะถวายคำนับก็ได้
๓. ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงเพลงสรรเสริญพระบารมีต้องหยุดยืนตรงนิ่งอยู่กับที่จนกว่าจะจบเพลงเพื่อถวายความเคารพ แลต้องถวายคำนับหรือยกมือไหว้เคารพเมื่อเพลงจบ
๔. ยืนต้อนรับผู้ใหญ่ที่กำลังเดินเข้ามาในงาน ถ้าเรากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ ต้องลุกยืนตรงด้วยความสำรวมเรียบร้อย
แลหันหน้าไปทางผู้ใหญ่
๕. ผู้มีมารยาทดีจะยืนตรงห้อยแขนและขาตามธรรมชาติเพื่อเคารพผู้ใหญ่ แต่ถ้าประสานมือไว้ข้างหน้าด้วยเป็นการแสดงความเคารพทวียิ่งขึ้น

๘. การเดิน
การเดินคืออยู่ในท่ายืน ก้าวขาตรงออกทีละข้างสลับกัน งอเข่าแล้ววางเท้าให้ตรงประดุจดังเดินบนกระดานแผ่นเดียว ควรเดินให้เรียบร้อย ไม่หัวเราะดังหรือสัพยอกกันเอะอะ ไม่ส่ายตัว ตั้งศรีษะตรง แขนแกว่งพองามไม่สูงจนน่าเกลียด ถ้าเดินเป็นหมู่ควรจะเหลียวดูรอเพื่อนที่ตามมาข้างหลัง ไม่เดินเร็วหรือช้าจนเกินไป

๙. การนอน
การนอนเป็นกิริยาทีวางร่างกายทุกส่วนทอดราบลงบนเตียงหรือบนพื้นที่ใช้นอนสุภาพชนควรนอนเฉพาะที่และ
เหมาะแก่กาละไม่ใช่ทั่วไป

๑๐. มารยาทแบบสากลทางกาย
การจับมือแบบฝรั่งเป็นเครื่องหมายแสดงความยินดีในการต้อนรับแสดงความเคารพเป็นมิตรไมตรีไว้เนื้อเชื่อใจกัน อาการกิริยาที่ใช้แสดงการยื่นมือขวาเปล่า ๆ ออกมา ย่อมแสดงให้ทั้งสองฝ่ายเห็นความบริสุทธิ์ซึ่งกันและกัน เปิดเผยซึ่งกันและกันว่าไม่มีอะไรซุกซ่อนในมือก่อนที่จะจับมือกัน เช่นเดียวกับการแสดงความเคารพของประเพณีไทย ด้วยการยกมือทั้งสองข้างมาพนมแล้วก้มศรีษะลงแสดงความเคารพ 

 

8 ตัวอย่างภาษาอังกฤษแบบผิดๆ ที่ฮิตติดปากคนไทย

8 ตัวอย่างภาษาอังกฤษแบบผิดๆ ที่ฮิตติดปากคนไทย

ในปัจจุบันมีคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษที่คนไทยใช้กันจนติดปากอยู่มากมาย แต่คุณเคยรู้ไหมว่ามีบางคำที่ฝรั่งเค้าไม่ได้ใช้อย่างที่เราพูดกันติดปาก ผมจึงเสนอคำศัพท์สัก 10 ตัวอย่างที่คนไทยมักใช้อย่างผิดๆพร้อมทั้งคำที่ถูกต้องซึ่งคุณควรนำไปใช้เวลาคุยกับฝรั่ง เริ่มเลยแล้วกันครับ
1) อินเทรนด์ (in trend) คำนี้อินเทรนด์มากๆ เอ๊ย...ฮิตมากๆ ในปัจจุบัน สามารถได้ยินตามรายการวิทยุหรือโทรทัศน์ทั่วไป เพราะใช้กันทั่วบ้านทั่วเมือง เช่น เด็กสมัยนี้ถ้าจะให้อินเทรนด์ต้องตามแฟชั่นเกาหลี ซึ่งบางทีเวลาคุณต้องการพูดว่า "มันทันสมัย" คุณอาจจะติดปากว่า "It is in trend." คำว่า "ทันสมัย" ฝรั่งเค้าไม่ใช้คำว่า "in trend" อย่างคนไทยหรอกครับ เค้าจะใช้คำว่า "trendy" หรือ "fashionable" ซึ่งเป็นคำคุณศัพท์ที่คุณสามารถวางไว้หน้าคำนามที่ต้องการขยาย เช่น a trendy haircut ทรงผมที่ทันสมัย, a fashionable restaurant ร้านอาหารที่ทันสมัย หรือจะไว้หลัง verb to be เช่น It is trendy. หรือ It is fashionable. ก็ได้ 

2) เว่อร์ (over) เช่น ใยคนนั้นทำอะไรเว่อร์ๆ She is over. ไม่มีความหมายแต่อย่างใดในภาษาอังกฤษ ฝรั่งที่ได้ยินคุณพูดเช่นนี้ คงมึนตึบ พร้อมทำสีหน้างงว่ามันหมายถึงอะไรเหรอ? พูดถึงคำนี้ คนไทยน่าจะหมายถึงการพูดเกินจริงหรือทำเกินจริง ซึ่งถ้าพูดเกินจริง ควรจะใช้คำศัพท์ที่ว่า "exaggerate" เป็นคำกิริยา อ่านว่า เอก-แซ้ก-เจ่อ-เรท เช่น 

"He said you walked 30 miles." เค้าบอกว่าคุณเดินตั้ง 30 ไมล์ 
"No - he's exaggerating. It was only about 15." ไม่หรอก เค้าพูดเว่อร์ (เกินจริง) มันก็แค่ 15 ไมล์เอง 

ดังนั้น ถ้าจะบอกว่า เธอพูดเว่อร์น่ะ ก็บอกว่า You're exaggerating. หรือจะบอกเค้าว่า อย่าพูดเว่อร์ๆ น่ะ อาจใช้ว่า Don't exaggerate. ส่วนอาการเว่อร์อีกแบบคือการทำเกินจริง เราจะใช้คำกิริยาที่ว่า "overact" เช่น You're overacting. เธอทำเว่อร์เกิน (แสดงอารมณ์เกินจริง) 

3) ดูหนัง soundtrack เวลาคุณจะบอกใครว่า ฉันต้องการดูหนังฝรั่งที่พากย์ภาษาอังกฤษ อย่าพูดว่า "I want to watch a soundtrack film." แต่ควรจะใช้ว่า "I want to watch an English film." เพราะความหมายของคำว่า "soundtrack" คือ ดนตรีที่อยู่ในภาพยนตร์ ต่างหากล่ะครับ 
ถ้าเราจะพูดถึงหนังฝรั่งที่พากย์เสียงภาษาไทย เราต้องบอกว่า "I want to watch an English film that is dubbed into Thai." เพราะคำกิริยาว่า "dub" คือพากย์เสียงจากต้นแบบในหนังหรือรายการโทรทัศน์ไปเป็นภาษาอื่น 
ส่วนหนังที่มีคำบรรยายใต้ภาพเราเรียกว่า "a subtitled film" ซึ่งคำบรรยายที่อยู่ใต้ภาพ เราเรียกว่า "subtitles" (ต้องมี s ต่อท้ายเสมอนะครับ) เช่น a French film with English subtitles หนังฝรั่งเศสที่มีคำบรรยายใต้ภาพเป็นภาษาอังกฤษ 

หนังบางเรื่องจะมีคำบรรยายใต้ภาพเป็นภาษาเดียวกับที่นักแสดงพูด เรามีศัพท์เรียกเฉพาะว่า "closed-captioned films/คำหวงห้าม/television programs" หรือ อาจเขียนย่อๆ ว่า "CC" เช่น You should watch a closed-captioned film to improve your English. คุณควรจะดูหนังฝรั่งที่มีคำบรรยายภาษาอังกฤษเพื่อพัฒนาภาษาอังกฤษของคุณ 

4) นักศึกษาปี 1 คนไทยมักเรียกว่า "freshy" ซึ่งฝรั่งไม่รู้เรื่องหรอกครับ เพราะไม่มีการบัญญัติศัพท์คำนี้ในภาษาอังกฤษ เค้าจะใช้คำว่า "fresher" หรือ "freshman" เช่น He is a fresher. หรือ He is a freshman. หรือ He is a first-year student. เขาเป็นนักศึกษาปี 1 ส่วนปีอื่นๆ คนไทยเรียกถูกแล้วครับ คือ ปี 2 เราเรียก a sophomore, ปี 3 เรียกว่า a junior และ ปี 4 เรียกว่า a senior 

5) อัดหรือบันทึก คนไทยมักพูดทับศัพท์ว่า เร็คคอร์ด (record) คำๆ นี้สามารถเป็นได้ทั้งคำนามและคำกิริยา เพียงแค่เปลี่ยนตำแหน่ง stress กล่าวคือ ถ้าจะใช้เป็นคำนามที่แปลว่า แผ่นเสียงหรือสถิติ ให้ขึ้นเสียงสูงที่พยางค์แรก คือ "เร็ค-คอร์ด" เช่น He wants to buy a record. เขาต้องการซื้อแผ่นเสียง, I broke my own record. ฉันทำลายสถิติของฉันเอง แต่ถ้าคุณจะหมายถึงคำกิริยาที่แปลว่า อัดหรือบันทึก ต้อง stress พยางค์หลัง ซึ่งจะอ่านว่า "รี-คอร์ด" เช่น I'll record the film and we can all watch it later. ฉันจะอัดหนัง เราจะได้เก็บไว้ดูทีหลังได้ ส่วนเครื่องบันทึก เราเรียกว่า "recorder" อ่านว่า รี-คอร์-เดอร์ 

6) ต่างคนต่างจ่าย เรามักใช้ American share รับรองว่าฝรั่ง(ต่อให้เป็นชาวอเมริกันด้วยครับ) ได้ยินแล้ว งงแน่นอน ถ้าคุณจะหมายถึงต่างคนต่างจ่ายให้ใช้ว่า "Let's go Dutch." หรือ "Go Dutch (with somebody)." อันนี้ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นธรรมเนียมของชาวดัตช์หรือเปล่า? ที่ต่างคนต่างจ่ายเลยมีสำนวนอย่างนี้ หรือคุณอาจจะบอกตรงๆ เลยว่า "You pay for yourself." คือเป็นอันรู้กันว่าต่างคนต่างจ่าย แต่ถ้าคุณต้องการเป็นเจ้ามือ(ไม่ใช่เล่นไพ่นะครับ)เลี้ยงมื้อนี้เอง คุณควรพูดว่า "It's my treat this time." หรือ "My treat." หรือ "It's on me." หรือ "All is on me." หรือ "I'll pay for you this time." ทั้งหมดแปลว่า มื้อนี้ฉันจ่ายเอง ส่วนถ้าจะบอกเพื่อนว่า คราวหน้าแกค่อยเลี้ยงฉันคืน ให้บอกว่า "It's your treat next time." 

7) ขอฉันแจม (jam) ด้วยคน ในกรณีนี้คำว่า "แจม" น่าจะหมายถึง "ร่วมด้วย" เช่น We are going to eat outside. Do you want to jam? เรากำลังจะออกไปกินข้าวข้างนอก เธอจะไปด้วยมั้ย? ในภาษาอังกฤษไม่ใช้คำว่า jam ในกรณีแบบนี้ ซึ่งควรจะใช้ว่า "Do you want to join us?", "Do you want to come with us?" หรือ "Do you want to come along?" จะดีกว่าครับ 

8) เขามีแบ็ค (back) ดี "He has a good back." ฝรั่งคงงงว่ามันเกี่ยวอะไรกับข้างหลังของเค้า เพราะ back แปลว่า หลัง (อวัยวะ) แต่คุณกำลังจะพูดถึงมีคนคอยสนับสนุน ซึ่งต้องใช้ "a backup" ซึ่งหมายถึง คนหรือสิ่งของที่ช่วยสนับสนุน ช่วยเหลือ เกื้อกูล เป็นกำลังใจให้

ความหมาย แนวคิดและประเด็นที่เกี่ยวกับ “วัฒนธรรม”

ความหมาย แนวคิดและประเด็นที่เกี่ยวกับ “วัฒนธรรม”

“วัฒนธรรม” เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของคนเรานับแต่เกิดจนตาย แต่เมื่อจะให้ความหมายของคำว่า “วัฒนธรรม” ดูเหมือนจะมิใช่เรื่องง่าย และไม่มีคำตอบที่ตายตัว ด้วยว่าวัฒนธรรมโดยตัวมันเอง ก็มีความหมายหลายนัย และครอบคลุมไปทุกเรื่อง แม้แต่ในต่างประเทศเอง ก็ไม่มีคำตอบที่เฉพาะเจาะจงเช่นกัน สุดแต่ว่าจะพูดหรือเน้นในเรื่องใด ดังนั้น กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม จึงได้นำความหมาย ประเด็นแนวคิดที่เกี่ยวกับ”วัฒนธรรม” มาเสนอเพื่อทราบเป็นความรู้พอสังเขป ดังนี้

นายวีระ บำรุงรักษ์ ได้เขียนไว้ว่า “วัฒนธรรม” เป็นคำที่เกิดขึ้นในสมัยจอมพลป.พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้มองเห็นความสำคัญของเรื่องนี้ โดยมาจากคำเดิมภาษาอังกฤษคือ “Culture” ซึ่งในตอนแรกพระมหาหรุ่น แห่งวัดมหาธาตุได้แปลคำนี้ว่า “ภูมิธรรม” แต่กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ ทรงเล็งเห็นว่าคำว่า ”ภูมิธรรม” มีความหมายค่อนข้างคงที่ พระองค์ท่านทรงมีความประสงค์ให้คำนี้มีความหมายในลักษณะเคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลงและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จึงทรงแปลใหม่เป็น “วัฒนธรรม” และได้มีการนำมาใช้สืบต่อมาจนปัจจุบัน ซึ่ง”Culture” นี้มาจากรากศัพท์ภาษาละตินว่า “Cultura” มีความหมายว่า การเพาะปลูกหรือการปลูกฝัง อธิบายได้ว่า มนุษย์เป็นผู้ปลูกฝังอบรมบ่มนิสัยให้เกิดความเจริญงอกงาม ส่วนคำว่า “วัฒนธรรม” เป็นคำสมาสระหว่างบาลีสันสฤต มาจาก คำว่า “วัฒนะ” ที่มีความหมายว่า เจริญงอกงาม รุ่งเรือง ส่วนคำว่า“ธรรม” ในที่นี้หมายถึงกฎ ระเบียบหรือข้อปฏิบัติ ซึ่งเมื่อรวมความแล้ว คำว่า“วัฒนธรรม”น่าจะหมายถึง ความเป็นระเบียบ หรือข้อปฏิบัติที่ทำให้เจริญรุ่งเรือง แต่ในทางปฏิบัติแล้ว มีผู้รู้ได้ให้ความหมายของคำว่า“วัฒนธรรม” อย่างหลากหลายยิ่งไม่ว่าในต่างประเทศหรือในประเทศ เช่น

Taylor กล่าวว่า “วัฒนธรรม”เป็นส่วนทั้งหมดที่ซับซ้อน ประกอบด้วยความรู้ ความเชื่อ ศิลปะ ศีลธรรม กฏหมาย ประเพณี และความสามารถอื่นๆที่มนุษย์ได้มาในฐานะเป็นสมาชิกของสังคม

ส่วน Encyclopidia of Social Science ได้อธิบายคำว่า “วัฒนธรรม”ว่า เป็นคำที่ใช้ในวิชามานุษยวิทยาสมัยใหม่ และในด้านสังคมศาสตร์ หมายถึง มรดกสังคม เป็นลักษณะเฉพาะในการดำรงชีวิตของกลุ่มคนที่มาอยู่ร่วมกัน และได้มีการเปลี่ยนแปลงให้เจริญตามยุคสมัย

ทางไทยพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตพ.ศ.๒๕๔๒ ให้ความหมาย“วัฒนธรรม”ว่า สิ่งที่ทำความเจริญงอกงามให้แก่หมู่คณะ เช่น วัฒนธรรมในการแต่งกาย หรือวิถีชีวิตของหมู่คณะ เช่น วัฒนธรรมชาวเขา

จอมพลป. พิบูลสงคราม กล่าวว่า “วัฒนธรรมของชาติเป็นเครื่องแสดงให้เห็นความเจริญงอกงามใหญ่หลวงของชาติ วัฒนธรรมเป็นสิ่งสำคัญมาก วัฒนธรรมไม่เป็นแค่เครื่องหมายภายนอก ไม่เป็นแค่เพียงสิ่งซึ่งอวดโลกว่าเป็นชนชาติเจริญเท่านั้น วัฒนธรรมมีผลลึกซึ้งเข้าไปถึงชีวิตจิตใจคน วัฒนธรรมเป็นเครื่องผดุงศีลธรรม เป็นปัจจัยแห่งความเจริญงอกงาม และความแข็งแรงมั่นคงของชาติบ้านเมือง”

พระยาอนุมานราชธน ได้กล่าวว่า “วัฒนธรรม” คือ สิ่งที่มนุษย์เปลี่ยนแปลงปรับปรุงหรือผลิตขึ้น สร้างขึ้นเพื่อความเจริญงอกงามในวิถีของส่วนรวม ถ่ายทอดกันไว้ เอาอย่างกันไว้ รวมทั้งผลิตผลของส่วนรวมที่มนุษย์ได้เรียนรู้มาจากคนแต่ก่อนสืบต่อเป็น ประเพณีกันมา ตลอดจนความรู้สึก ความคิดเห็น และกิริยาอาการ หรือการกระทำใดๆของมนุษย์ในส่วนรวมลงรูปเป็นพิมพ์เดียวกัน และสำแดงออกมาได้ปรากฏเป็นภาษา ศิลปะ ความเชื่อ ระเบียบประเพณี เป็นต้น

พระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ประยุตฺโต)ได้เคยให้ความหมายว่า “วัฒนธรรม” เป็นผลรวมของการสั่งสมสร้างสรรค์ภูมิธรรม ภูมิปัญญา ที่ถ่ายทอดสืบต่อกันมาของสังคมนั้นๆ หรือกล่าวสั้นๆได้ว่า วัฒนธรรมคือประสบการณ์ ความรู้ ความสามารถที่สังคมนั้นมีอยู่ หรือเนื้อตัวทั้งหมดของสังคมนั่นเอง

นายสาโรช บัวศรี กล่าวว่า“วัฒนธรรม”หมายถึง ความดี ความงามและความเจริญในชีวิตมนุษย์ ซึ่งปรากฏในรูปแบบต่างๆ และได้ตกทอดมาถึงเราในปัจจุบัน หรือว่าที่เราได้ปรับปรุงและสร้างสรรค์ขึ้นในสมัยเราเอง ( ได้แก่ศิลปกรรม มนุษย์ศาสตร์ การช่างฝีมือ การกีฬาและนันทนาการ และคหกรรมศาสตร์)

ศาสตราจารย์ประเวศ วะสี กล่าวว่า “วัฒนธรรม” คือ พลังของสังคมทางภูมิปัญญา เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ จิตใจ การเมือง สังคม สิ่งแวดล้อมพร้อมกันไป

ส่วนนายนิคม มุสิกะคามะ ให้ความหมายว่า“วัฒนธรรม” คือวิถีชีวิตของคน เกิดจากกระบวนการอันซับซ้อนทางสังคมหรือกลุ่มชน โดยรวมเอามิติทางด้านจิตใจ วัตถุ ภูมิปัญญาและอารมณ์เข้าไว้ด้วยกันจนเป็นรูปแบบเอกลักษณ์ของสังคมนั้น มิใช่เพียงเรื่องของศิลปะและวรรณกรรม หากหมายรวมถึงสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ระบบค่านิยม ตลอดจนขนบธรรมเนียม จารีตประเพณี และความเชื่อต่างๆ

ในพ.ร.บ.วัฒนธรรมแห่งชาติ พ.ศ.๒๔๘๕ ได้ให้ความหมาย “วัฒนธรรม” ว่า หมายถึง ลักษณะที่แสดงความเจริญงอกงาม ความเป็นระเบียบ ความกลมเกลียวก้าวหน้าของชาติและศีลธรรมอันดีงามของประชาชน ส่วนความหมาย “วัฒนธรรม” ตามแนวทางในการรักษาส่งเสริมและพัฒนาวัฒนธรรมพ.ศ. ๒๕๒๙ กล่าวว่า “วัฒนธรรม”คือ วิถีชีวิต เป็นวิถีการดำเนินชีวิตของสังคม เป็นแบบแผนการประพฤติปฏิบัติและการแสดงออกซึ่งความรู้สึก นึกคิดในสถานการณ์ต่างๆที่สมาชิกในสังคมเดียวกัน สามารถแก้ไขและซาบซึ้งร่วมกัน ดังนั้น วัฒนธรรมไทย คือ วิถีชีวิตที่คนไทยได้สั่งสม เลือกสรร ปรับปรุง แก้ไข จนถือว่าเป็นสิ่งดีงามเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและได้ใช้เป็นเครื่องมือ หรือเป็นแนวทางในการป้องกันและแก้ไขปัญหาสังคม นอกจากนี้ยังว่า “วัฒนธรรม” คือ มรดกแห่งสังคม ซึ่งสังคมปรับปรุงและรักษาไว้ให้เจริญ งอกงาม วัฒนธรรมเกิดจากการประพฤติปฏิบัติร่วมกัน เป็นแนวเดียวกันอย่างต่อเนื่องของสมาชิกในสังคม สืบทอดเป็นมรดกทางสังคมต่อกันมาจากอดีต หรืออาจเป็นสิ่งประดิษฐ์คิดค้นสร้างสรรค์ขึ้นใหม่ หรืออาจจรับเอาสิ่งที่เผยแพร่มาจากสังคมอื่นๆ ทั้งหมดนี้หากสมาชิกยอมรับและยึดถือเป็นแบบแผนประพฤติปฏิบัติร่วมกัน ก็ย่อมถือว่าเป็นวัฒนธรรมของสังคมนั้น

และในปีพ.ศ. ๒๕๓๕ ได้ให้ความหมาย “วัฒนธรรม” ว่า หมายถึง ความเจริญงอกงาม ซึ่งเป็นผลจากระบบความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ มนุษย์กับสังคม และมนุษย์กับธรรมชาติ จำแนกออกเป็น ๓ ด้านคือ จิตใจ สังคม และวัตถุ มีการสั่งสมและสืบทอดจากคนรุ่นหนึ่งไปสู่คนอีกรุ่นหนึ่ง จากสังคมหนึ่งไปสู่อีกสังคมหนึ่ง จนกลายเป็นแบบแผนที่สามารถ เรียนรู้และก่อให้เกิดผลิตกรรมและผลิตผล ทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม อันควรค่าแก่การวิจัย อนุรักษ์ ฟื้นฟู ถ่ายทอด เสริมสร้างเอตทัคคะ และแลกเปลี่ยน เพื่อสร้างดุลยภาพแห่งความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ สังคม และธรรมชาติ ซึ่งจะช่วยให้มนุษย์สามารถดำรงชีวิตอย่างมีสุข สันติสุข และอิสรภาพ อันเป็นพื้นฐานแห่งอารยธรรมของมนุษย์ชาติ

คณะกรรมาธิการโลกว่าด้วยวัฒนธรรมและการพัฒนา ( The World Commission on Culture and Development) ได้นำเสนอรายงานเรื่อง ความหลากหลายทางวัฒนธรรม (Our Creation Diversity) ต่อที่ประชุมสมัยสามัญของยูเนสโก เมื่อตุลาคม ๒๕๓๘ ว่า วัฒนธรรม เป็นปัจจัยในการถ่ายทอดพฤติกรรม และพลังแห่งการเปลี่ยนแปลง สร้างสรรค์ เสรีภาพ และความเป็นผู้ตื่นตัวต่อความแปลกใหม่ที่เกิดขึ้นในวิถีชีวิตอยู่เสมอ และว่า วัฒนธรรม คือ พลัง จิตสำนึก อำนาจ ความรู้และความหลากหลายสำหรับชุมชนและสังคม ดังนั้น ปัญหาท้าทายมนุษยชาติปัจจุบัน คือ การปรับวิถีชีวิตให้สอดคล้องกับสังคมและสิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน และที่กำลังจะเปลี่ยนไปในอนาคต โดยเฉพาะการปรับแนวคิดใหม่ พฤติกรรมใหม่ การจัดระเบียบสังคมใหม่ และการส่งเสริมแนวทางการพัฒนาทั้งหลายบนพื้นฐานมิติทางวัฒนธรรม

กล่าวโดยสรุป “วัฒนธรรม” หมายถึง วิถีการดำเนินชีวิต (The Way of Life) ของคนในสังคม นับตั้งแต่วิธีกิน วิธีอยู่ วิธีแต่งกาย วิธีทำงาน วิธีพักผ่อน วิธีแสดงอารมณ์ วิธีสื่อความ วิธีจราจรและขนส่ง วิธีอยู่ร่วมกันเป็นหมู่คณะ วิธีแสดงความสุขทางใจ และหลักเกณฑ์การดำเนินชีวิต โดยแนวทางการแสดงถึงวิถีชีวิตนั้นอาจจมาจากเอกชน หรือคณะบุคคลทำเป็นตัวแบบ แล้วต่อมาคนส่วนใหญ่ก็ปฏิบัติสืบต่อกันมา วัฒนธรรมย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามเงื่อนไขและกาลเวลา เมื่อมีการประดิษฐ์หรือค้นพบสิ่งใหม่ วิธีใหม่ที่ใช้แก้ปัญหาและตอบสนองความต้องการของสังคมได้ดีกว่า ซึ่งอาจทำให้สมาชิกของสังคมเกิดความนิยม และในที่สุดอาจเลิกใช้วัฒนธรรมเดิม ดังนั้น การรักษาหรือธำรงไว้ซึ่งวัฒนธรรมเดิม จึงต้องมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาวัฒนธรรมให้เหมาะสมมีประสิทธิภาพ ตามยุคสมัย

วัฒนธรรม อาจแบ่งอย่างกว้างๆได้ ๒ ประเภท คือ วัฒนธรรมทางวัตถุ ได้แก่เรื่องเกี่ยวกับปัจจัยสี่ และวัฒนธรรมทางจิตใจ ได้แก่ เรื่องศาสนา ศิลปะ วรรณคดี กฎระเบียบต่างๆที่ส่งเสริมในเรื่องจิตใจ

ส่วน UNESCO ได้แบ่ง “มรดกวัฒนธรรม” ออกเป็น ๒ ส่วนคือ Tangible Cultural Heritage คือ มรดกวัฒนธรรมที่จับต้องได้ เช่น โบราณสถาน โบราณวัตถุต่างๆ และ Intangible Cultural Heritage คือ มรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้อันเป็นเรื่องเกี่ยวกับภูมิปัญญา ทรัพย์สินทางปัญญา ระบบคุณค่า ความเชื่อ พฤติกรรมและวิถีชีวิต ซึ่งวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้นี้ มีผู้เสนอว่าน่าจะใช้คำว่า “วิถีชน” จะเห็นภาพได้ชัดเจนกว่า

นอกเหนือจากความหมายข้างต้นแล้ว ยังมีข้อคิดเห็นของพระยาอนุมานราชธนที่เกี่ยวกับ “วัฒนธรรม” ที่น่าสนใจหลายประการ คือ ท่านว่า วัฒนธรรมของชนชาติใด เมื่อมีความเจริญสืบต่อกันมานาน แล้วหยุดชะงัก ไม่มีการริเริ่มสร้างสรรค์โดยนำสิ่งใหม่มาเพิ่มหรือต่อชีวิตให้แก่สิ่งเก่า เพื่อให้การวิวัฒนาการต่อไป สิ่งนั้นก็จะเสื่อมลง หรือแม้จะมีการนำสิ่งใหม่มาเพิ่มเติม แต่ไม่รู้จักสลัดสิ่งเก่าในส่วนที่ไม่เหมาะกับยุคสมัยออก ก็จะเกิดอาการอุ้ยอ้ายเคลื่อนไหวไม่สะดวก หรือหากนำสิ่งใหม่พอกสิ่งเก่าจนหนาเกินไป ผู้ที่เกิดใหม่ก็จะเกิดความรู้สึกเบื่อ เห็นว่ารุ่มร่าม และจะเกิดการปฏิเสธทั้งหมด วัฒนธรรมไม่ว่าของชนชาติใด ย่อมคลี่คลายเป็นวิวัฒนาการไปตามเงื่อนไขที่มีอยู่ และเมื่อมีการติดต่อคบค้าสมาคมกันระหว่างชาติต่างๆ วัฒนธรรมย่อมมีการปะปนกันมากขึ้น จนเกิดเป็นวัฒนธรรมสากล ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่แรง และต้องแข่งขันกัน ถ้าชาติใดไม่รับไว้ ก็อาจเป็นอันตรายในแง่ที่ว่าแข่งกับความเจริญของโลกที่รุดหน้ารวดเร็วไปไม่ ทัน แต่การรับเอาวัฒนธรรมใหม่หรือวัฒนธรรมสากลที่ว่านี้ หากเกินพอดีก็อาจจะถอนรากวัฒธรรมเดิมของตนอันเป็นส่วนสำคัญที่คุ้มกัน อันตรายและเป็นความเจริญของชาติมาเป็นเวลาช้านานหลายปีให้กร่อนและค่อยๆหมด ไป ในที่สุดก็จะทำให้หมดบุคลิกลักษณะ ไม่มีรากฐานแห่งชาติของตนต่อไป เพราะวัฒนธรรมที่มีคุณค่าและเป็นประโยชน์แก่ชาติ จะต้องเป็นวัฒนธรรมที่มีรากหยั่งลึก และมีอาการเคลื่อนไหวให้เป็นความเจริญก้าวหน้า ซึ่งต้องอาศัยปัจจัยหลายประการ เปรียบได้กับต้นไม้ที่แผ่กิ่งก้านสาขาได้กว้างขวางก็เพราะมีรากหยั่งลึก จึงไม่โค่นง่ายๆ แต่รากลึกอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีส่วนอื่นๆของต้นไม้ทำหน้าที่ประสานสัมพันธ์เพื่อรับอากาศ แสงแดดและอาหารอื่นจากภายนอกมาด้วย ต้นไม้จึงจะเจริญเติบโต เช่นเดียวกับวัฒนธรรม ที่อาจต้องรับวัฒนธรรมสากลไว้ เพื่อแทรกซึมหล่อเลี้ยงวัฒนธรรมเดิมของตนให้ก้าวหน้าไปตามสมัย ในขณะเดียวกันก็ต้องรักษาวัฒนธรรมเดิมหรือรากฐานของตนไว้ เพื่อให้เกิดความสมดุลจึงจะเจริญก้าวหน้าต่อไปได้ ซึ่งตรงนี้ก็ขึ้นอยู่กับคนซึ่งเป็นผู้สร้างวัฒนธรรม โดยท่านเห็นว่าวัฒนธรรมเดิมและวัฒนธรรมสากลที่เรียกได้ว่าสมดุล นั้น ต้องเป็นวัฒนธรรมที่ทำให้คนส่วนใหญ่ในชาติได้รับประโยชน์ และมีความผาสุก อันได้แก่

๑. ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ ไม่ต้องหวาดกลัวต่อภัยอันตรายหรือกลัวความอดอยาก
๒. มีความรู้สึกเป็นมิตรต่อกัน ไม่เกลียดชังริษยาซึ่งกันและกัน
๓. มีความสามารถสร้างและได้รับความบันเทิงจากสิ่งที่งาม และสิ่งที่ไพเราะ
๔. มีความสนใจเรื่องวิชาการอันนำไปสู่ความเจริญก้าวหน้าและความแพร่หลายแห่งความรู้

สำหรับวัฒนธรรมที่เกิดใหม่ ย่อมมีทั้งผลดีและผลเสีย กล่าวคือ ถ้าวัฒนธรรมที่เกิดใหม่ตั้งอยู่บนรากฐานเดิม ก็จัดเป็นผลดี เพราะมีลักษณะที่สืบต่อจากของเก่า ทำให้ไม่ขาดตอน เหมือนต้นไม้เดิม แต่ผลัดใบใหม่ ให้ดูแปลก แต่ถ้าวัฒนธรรมใหม่ไม่ตั้งอยู่บนรากฐานเดิม ก็จัดอยู่ในผลเสีย เพราะสูญเสียบุคลิกลักษณะเดิมของตนไป กลายเป็นชาติที่ไม่มีอดีตหรือไม่มีชาติของตนได้ต่อไป

วัฒนธรรมไม่ว่าจะเก่าหรือใหม่ย่อมมีทั้งส่วนดีและไม่ดีอยู่ในตัว สิ่งเก่าไม่ใช่ว่าจะไม่ดีเสียหมด ขณะเดียวกันสิ่งใหม่ก็ใช่ว่าดีไปหมดเช่นกัน ท่านว่าสิ่งใดเป็นวัฒนธรรม สิ่งนั้นย่อมมีอายุ กล่าวคือถ้าคนยังนิยม สิ่งนั้นก็ยังคงอยู่ และยังขึ้นอยู่กับเงี่อนไขแห่งการศึกษา เศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมอื่นๆของคนด้วย สิ่งใดเป็นวัฒนธรรมเมื่อมีอายุมานาน หากไม่มีการปรับปรุงให้ก้าวหน้า สิ่งนั้นก็จะเสื่อมความนิยมกลายเป็นความเก่าคร่ำคร่า พ้นสมัย และค่อยๆตายไป หากจะฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ หรือต้องการป้องกันมิให้ความเก่าคร่ำคร่าเข้าครอบงำ ก็ต้องมีสิ่งใหม่เพิ่มเติม เพื่อให้แทรกซึมและประสานกับสิ่งเก่าให้กลายเป็นความพอดี สิ่งเก่านั้นก็จะฟื้นชีวิตและมีความงอกงามเป็นวิวัฒนาการซึ่งอาจจะดีกว่าของ เก่าก็ได้

และสิ่งที่เป็นวัฒนธรรมเก่า แม้ดีแต่หมดอายุกลายเป็นอดีตไปแล้ว หากจะทำให้อดีตหวนคืนมาเป็นปัจจุบันคงไม่ได้ แต่ถ้าเราไม่อยากทิ้งขว้างวัฒนธรรมนั้น ก็อาจเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์เป็นโบราณวัตถุ หรือหากจะฟื้นฟูชั่วคราว เพื่อสืบต่อชีวิตแห่งปรัมปราประเพณีอันเป็นความหลังของส่วนรวมไม่ให้ขาดตอน เพื่อให้มีสะพานเชื่อมอดีตและปัจจุบัน เพื่อให้อนุชนรุ่นหลังได้เรียนรู้ ได้เห็นแบบอย่างเป็นเครื่องเตือนใจให้ระลึกถึงชาติภูมิอดีตของตนว่าเป็นมา และคลี่คลายมาได้อย่างไร เพื่อเป็นแนวทางในการปรับปรุงและแก้ไขสิ่งในปัจจุบันที่เห็นว่าบกพร่องอยู่ ก็สามารถทำได้

ท้ายสุดท่านกล่าวว่า ผู้มีวัฒนธรรมระดับสูง และมีความปรารถนาให้วัฒนธรรมแห่งชาติของตนมีวิวัฒนาการไปด้วยดี คือ ผู้ที่รู้จักตนในปัจจุบัน ว่าตนมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบต่ออดีตและอนาคต ซึ่งเป็นกาลเวลาที่ต่อเนื่องเป็นกระแสเดียวกัน ที่ว่าหน้าที่ต่ออดีตคือ เป็นผู้รู้คุณ มีกตัญญูกตเวทีต่อบุรพการีที่ได้มอบมรดกมีค่า คือ วัฒนธรรมไว้ให้กับตนซึ่งเป็นทายาทผู้สืบต่อ ตนจะต้องพิทักษ์รักษาและทำมรดกนั้นให้งอกงามทวียิ่งขึ้นกว่าเดิม และในคราวเดียวกัน ตนก็มีหน้าที่ต่ออนาคต คือ เป็นผู้สร้างสิ่งอันดีงามขึ้นไว้ เพื่อมอบเป็นมรดกของขวัญ ให้แก่ลูกหลานซึ่งเป็นทายาท จะได้มีความเจริญวัฒนาต่อไป อย่าให้ลูกหลานกล่าวติได้ว่า ตนไม่ได้สร้างสิ่งไรที่ดีงาม มอบไว้แก่ลูกหลานเพื่อเป็นสมบัติต่อที่ทำให้มีชีวิตอยู่ดีต่อไป
 
ที่มา โดยสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม 

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์


 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ 

คอมพิวเตอร์คืออะไร
คอมพิวเตอร์ คือ อุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์ (electrinic device) ที่มนุษย์ใช้เป็นเครื่องมือช่วยในการจัดการกับข้อมูลที่อาจเป็นได้ ทั้งตัวเลข ตัวอักษร หรือสัญลักษณ์ที่ใช้แทนความหมายในสิ่งต่าง ๆ โดยคุณสมบัติที่สำคัญของคอมพิวเตอร์คือการที่สามารถกำหนดชุดคำสั่งล่วงหน้าหรือโปรแกรมได้ (programmable) นั่นคือคอมพิวเตอร์สามารถทำงานได้หลากหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับชุดคำสั่งที่เลือกมาใช้งาน ทำให้สามารถนำคอมพิวเตอร์ไปประยุกต์ใช้งานได้อย่างกว้างขวาง เช่น ใช้ในการตรวจคลื่นความถี่ของหัวใจ การฝาก - ถอนเงินในธนาคาร การตรวจสอบสภาพเครื่องยนต์ เป็นต้น ข้อดีของคอมพิวเตอร์ คือ เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธภาพ มีความถูกต้อง และมีความรวดเร็ว
อย่างไรก็ดี ไม่ว่าจะเป็นงานชนิดใดก็ตาม เครื่องคอมพิวเตอร์จะมีวงจรการทำงานพื้นฐาน 4 อย่าง (IPOS cycle) คือ
  1. รับข้อมูล (Input) เครื่องคอมพิวเตอร์จะทำการรับข้อมูลจากหน่วยรับข้อมูล (input unit) เช่น คีบอร์ด หรือ เมาส์
  2. ประมวลผล (Processing) เครื่องคอมพิวเตอร์จะทำการประมวลผลกับข้อมูล เพื่อแปลงให้อยู่ในรูปอื่นตามที่ต้องการ
  3. แสดงผล (Output) เครื่องคอมพิวเตอร์จะให้ผลลัพธ์จากการประมวลผลออกมายังหน่วยแสดงผลลัพธ์ (output unit) เช่น เครื่องพิมพ์ หรือจอภาพ
  4. เก็บข้อมูล (Storage) เครื่องคอมพิวเตอร์จะทำการเก็บผลลัพธ์จากการประมวลผลไว้ในหน่วยเก็บข้อมูล เพื่อให้สามารถนำมาใช้ใหม่ได้ในอนาคต
แสดงขั้นตอนการทำงานพื้นฐานของคอมพิวเตอร์

  • คุณสมบัติของคอมพิวเตอร์
  • ปัจจุบันนี้คนส่วนใหญ่นิยมนำคอมพิวเตอร์มาใช้งานต่าง ๆ มากมาย ซึ่งผู้ใช้ส่วนใหญ่มักจะคิดว่าคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือที่สามารถทำงานได้สารพัด แต่ผู้ที่มีความรู้ทางคอมพิวเตอร์จะทราบว่า งานที่เหมาะกับการนำคอมพิวเตอร์มาใช้อย่างยิ่งคือการสร้างสารสนเทศ ซึ่งสารสนเทศเหล่านั้นสามารถนำมาพิมพ์ออกทางเครื่องพิมพ์ ส่งผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ หรือจัดเก็บไว้ใช้ในอนาคนก็ได้ เนื่องจากคอมพิวเตอร์จะมีคุณสมบัติต่าง ๆ คือ
    • ความเร็ว (speed) คอมพิวเตอร์ในปัจจุบันนี้สามารถทำงานได้ถึงร้อยล้านคำสั่งในหนึ่งวินาที
    • ความเชื่อถือ (reliable) คอมพิวเตอร์ทุกวันนี้จะทำงานได้ทั้งกลางวันและกลางคืนอย่างไม่มีข้อผิดพลาด และไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
    • ความถูกต้องแม่นยำ (accurate) วงจรคอมพิวเตอร์นั้นจะให้ผลของการคำนวณที่ถูกต้องเสมอหากผลของการคำนวณผิดจากที่ควรจะเป็น มักเกิดจากความผิดพลาดของโปรแกรมหรือข้อมูลที่เข้าสู่โปรแกรม
    • เก็บข้อมูลจำนวนมาก ๆ ได้ (store massive amounts of information) ไมโครคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน จะมีที่เก็บข้อมูลสำรองที่มีความสูงมากกว่าหนึ่งพันล้านตัวอักษร และสำหรับระบบคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่จะสามารถเก็บข้อมูลได้มากกว่าหนึ่งล้าน ๆ ตัวอักษร
    • ย้ายข้อมูลจากที่หนึ่งไปยังอีกทีหนึ่งได้อย่างรวดเร็ว (move information) โดยใช้การติดต่อสื่อสารผ่านระบบ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ ซึ่งสามารถส่งพจนานุกรมหนึ่งเล่มในรูปของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ที่อยู่ไกลคนซีกโลกได้ในเวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งวินาที ทำให้มีการเรียกเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมกันทั่วโลกในปัจจุบันว่า ทางด่วนสารสนเทศ (Information Superhighway)
    ผู้ที่สนใจศึกษาทางด้านคอมพิวเตอร์ จะต้องศึกษาหลักการทำงานพื้นฐานของเครื่องคอมพิวเตอร์และโปรแกรมประยุกต์ต่าง ๆ รวมทั้งจะต้องศึกษาถึงผลกระทบจากคอมพิวเตอร์ต่อสังคมในวันนี้ ทั้งในแง่บวกและแง่ลบ โดยในแง่บวกนั้นจะมองเห็นได้ง่ายจากสภาพแวดล้อมทั่วไป นั่นคือทำให้สามารถทำงานต่าง ๆ ได้อย่างสะดวกและรวดเร็วขึ้น เริ่มตั้งแต่การจัดเก็บเอกสาร การพิมพ์จดหมาย การจัดทำหนังสือพิมพ์และวารสารต่าง ๆ การฝาก - ถอนเงินในธนาคาร การจ่างเงินซื้อสินค้า ตรวจความผิดปกติของทารกในครรภ์ และในทางการแพทย์อื่น ๆ อีกมากมาย

วันศุกร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2554


เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก

===> เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก <===
กำแพงเมืองจีน หนึ่งใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง
ยุคโบราณ
ยุคกลาง
ยุคปัจจุบัน
 1) พีระมิดแห่งเมืองกิเซห1) หอเอนเมืองปิซา1) ปราสาทหินนครวัตนครธม
2) โบสถ์แห่งเดียนา2) โคลอสเซียมแห่งโรม2) ทัชมาฮาล
3) สุสานของกษัตริย์มอโซลุส3) สุสานแห่งอเลกซานเดรีย3) พระราชวังแวร์ซายส์
4) สวนลอยแห่งกรุงบาบิโลน4) สุเหร่าเซ็นต์โซเฟีย4) เรือควีนแมรี่
5) เทวรูปซีอูส5) กำแพงเมืองจีน5) สะพานโกลเดนเกต
6) เทวรูปโคโลสซูส6) เจดีย์กระเบื้องเคลือบนานกิง6) ตึกเอมไพรสเตรท
7) ประภาคารฟาห์โรห์7) กองหินประหลาดสโตนเฮนจ์7) ทำนบยักษ์ฮูเวออร์

นำข้อมูลมาจาก http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/st2545/5-6/no38/index.html ครับ
 การแบ่งประเภทของสิ่งมหัศจรรย์
        การแบ่งประเภทของสิ่งมหัศจรรย์ในโลกอันกว้างนั้นสามารถจำแนกออกเป็นหลายสาขาด้วยกัน อาทิเช่น สิ่งมหัศจรรย์สาขาภูมิศาสตร์ , สาขาประวัติศาสตร์ , สาขาจิตร
กรรม และสถาปัตยกรรม , สาขาชีววิทยา และก็ สาขาวิทยาศาสตร์
 การจัดแบ่งสิ่งมหัศจรรย์ทางสถาปัตยกรรม สามารถแบ่งได้เป็น 3 ยุค คือ
1. สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ
2. สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง
3. สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคปัจจุบัน
1. สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ (อายุตั้งแต่ 5,000 ปี ก่อนคริสตกาล - ค.ศ. 500)
        ประมวลและจัดโดยนักปราชญ์กรีก ชื่อ แอนติเพเตอร์( Antipater ) แห่งไซดอน ( Sidon )ในศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสตกาล สิ่งมหัศจรรย์ของโลก 7 อย่าง ยุคโบราณเป็นผลงานของมนุษย์ทางด้านวิศวกรรม สถาปัตยกรรมและศิลปกรรม จากยุคสมัยแรกเริ่มอารยธรรมของโลกในแถบลุ่มแม่น้ำไนล์ ในประเทศอียิปต์ ถึงยุคความรุ่งเรืองของอารยธรรมกรีกโบราณและยุคสมัยอาณาจักรโรมันเรืองอำนาจ อันได้แก่
1) พีระมิดแห่งเมืองกิเซห
คลิกรูปกลับด้านบน
สถานที่ตั้ง เมืองกิเซห์ ประเทศอียิปต์ ปัจจุบัน สามารถเข้าเยี่ยมชมได้
        พีระมิดเป็นที่เก็บพระศพของกษัตริย์อียิปต์ในสมัยโบราณ ตั้งอยู่บริเวณริมฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไนล์ ห่างไปทางตอนใต้ของเมืองอเลกซานเดรีย ประมาณ 160 กิโลเมตร สร้างด้วยหินเป็นรูปกรวยเหลี่ยม เมื่อประมาณ 3500 ปี ก่อนคริสตกาล กินเนื้อที่ในบริเวณพีระมิด 131 เอเคอร์ พีระมิดนี้ สูงถึง 147 เมตร ฐานกว้างด้านละ 230 เมตร ใช้ก้อนหินในการก่อสร้าง 2500000 ก้อน หนักก้อนละ 2 ตันครึ่ง บางก้อนหนักถึง 16 ตัน รวมน้ำหนักกว่า 6,000,000 ตัน มีการเตรียมการสร้างถึง 10 ปี ใช้กรรมกรก่อสร้างประมาณ 100000 คน มาใช้แรงงานถึง 20 ปี เพื่อสร้างพีระมิดดังกล่าวให้สำเร็จจนลุล่วง ปัจจุบันส่วนยอดของพีระมิดทรุดโทรมลงจนมีความสูงเพียง 137 เมตร(รายละเอียดเพิ่มเติม)
2) โบสถ์แห่งเดียนา

สถานที่ตั้ง เมืองเอฟฟิอุส ประเทศกรีก ปัจจุบัน ยังมีซากหลงเหลืออยู่บ้าง
        โบสถ์แห่งเดียนา สร้างขึ้นโดยชาวเอฟฟิเซียนด้วยฝีมือของบรรดาสถาปัตย์กรีกผู้มีชื่อเสียง ซึ่งสร้างได้งามวิจิตรพิสดารมากทั้งนี้เพื่อเป็นที่ระลึกถึง อาร์เทมิส ผู้มาจากสวรรค์ผู้ที่ได้ช่วยกู้ความหายนะของเมืองไว้ได้ถึง 2 ครั้ง เมื่อศตวรรษที่ 5 ก่อนคริศตกาล ยาวถึง 425 ฟุต กว้าง 225 ฟุต มีเสาหินอ่อนรวม 127 ต้น แต่ละต้นสูง 60 ฟุต หลังคาใช้กระเบื้องหินอ่อน ส่วนประตูประดับประดาไปด้วยงาช้างและทองคำ
3) สุสานของกษัตริย์มอโซลุส
คลิกรูปกลับด้านบน
สถานที่ตั้ง เมืองฮาลคาร์นาซัส ประเทศตุรกี ปัจจุบัน ยังมีซากหลงเหลือ
        สุสานของมอโซลุสหรือสถานที่เก็บพระศพของพระเจ้ามอโซลุสกษัตริย์แห่งเอเซียไมเนอร์ ซึ่งพระนางเตมีเซีย บรมราชินีได้ขึ้นครองราชย์ ต่อจากพระราชสวามีและได้เป็นผู้สร้างขึ้นไว้เพื่อเป็นที่ฝังพระศพของพระราชสวามี ที่เมืองซาเรีย (เมืองฮาลคาร์นาซัสในปัจจุบัน)โดยใช้ช่างออกแบบ ฟิดิอัส ซาติรัส บรายอาซีส สโคปาส ทิโมทิอัส ที่มีชื่อเสียง ฝีมือเยี่ยมในกรีก ทั้งหมดมาช่วยกันสร้างด้วยหินอ่อน แต่ยังไม่ทันสร้างเสร็จพระนางก็สิ้นพระชนม์เสียก่อน สร้างเมื่อประมาณ 352 ปีก่อนคริสตกาล มีความสูง 140 ฟุต วัดฐานโดยรอบยาว 111 ฟุต แบ่งเป็น 5 ชั้น บนยอดมีรูปปั้นมอโซลุส ประทับบนราชรถเทียมด้วยม้า
4) สวนลอยแห่งกรุงบาบิโลน
คลิกรูปกลับด้านบน
สถานที่ตั้ง กลางทะเลทราย เมืองแบกแดด ประเทศอิรัก ปัจจุบัน ทั้งสวนและผนังดังกล่าวทรุดโทรมจนแทบไม่เหลือซากแล้ว
        สวนลอยแห่งกรุงบาบิโลนนี้ กินเนื้อที่ 4 เอเคอร์สร้างขึ้นเมื่อประมาณปี พ.ศ. 63 โดยพระเจ้าเนบูชาดเนสซาร์ที่ 2 กษัตริย์แห่งเปอร์เซียหลังจากการพิชิตปราบปรามเมืองใกล้เคียงมาอยู่ในอำนาจ แล้วก็กวาดต้อนประชาชนพลเมือง มาใช้เป็นทาสให้สร้างสวนลอยนี้ขึ้นบนทะเลทราย มีกำแพงดินกั้นล้อมรอบและประกอบด้วยลานกว้างๆเป็นหลายๆส่วนบนพื้นที่โค้ง มีความสูงมากและปลูกต้นไม้ ดอกไม้สีสันสดใสสร้างสระน้ำสีต่างๆทำน้ำตก น้ำพุ โดยทำท่อเอาน้ำมาจากลุ่มแม่น้ำยูเฟตีส สวนลอยแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประพาส หย่อนพระทัยของพระมเหสีเซมีรามีส
5) เทวรูปซีอูส

สถานที่ตั้ง เมืองโอลิมเปีย ประเทศกรีก ปัจจุบัน ไม่เหลือซาก
        เทวรูปซีอูส ตั้งอยู่ในวิหารโอลิมเปีย ประเทศกรีก เป็นเทวรูปของ ซีอูส ลักษณะประทับอยู่บนบัลลังก์ทอง ซึ่งแกะสลักโดยช่างที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้นมีชื่อว่า ฟีดีอัส ประมาณศตวรรษที่ 5 โดยกล่าวกันว่า ตัวเทพซีอูส แกะสลักด้วยงาช้าง สูง 40 ฟุต พระหัตถ์ซ้ายทรงคธา พระหัตถ์ขวารองรับรูปปั้นแห่งชัยชนะ มีเครื่องประดับกายทำด้วยทองคำล้วนๆ นับว่าเป็นเทวรูปแกะสลักที่ใหญ่ที่สุดและถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่เคารพบูชา ของชาวกรีก
6) เทวรูปโคโลสซูส
คลิกรูปกลับด้านบนสถานที่ตั้ง เกาะโรดส์ ประเทศกรีก ปัจจุบัน ไม่เหลือซาก
        เป็นรูปสำริดขนาดใหญ่ของพระอาทิตย์หรือรูปหล่อของพระเจ้าอปอลโล หล่อด้วยทองบรอนซ์ ในท่ายืน สูง 100 ฟุตโดยเฉพาะฐานที่รองรับรูปหล่อนั้นสูงกว่าตึก 5 ชั้น พระหัตถ์ขวาถือดวงประทีป ตั้งอยู่หน้าเมืองโรดส์ประเทศกรีก สร้างโดยกษัตริย์แชรัสแห่งลินดัส เชื่อกันว่าเป็นรูปปั้นที่คอยกั้นอ่าวของเกาะแห่งนี้ของกรีกในทะเลเอเจียน สร้างเสร็จหลังจากใช้เวลา 12 ปี แล้วเสร็จเมื่อประมาณ 280 ปีก่อนคริสตกาล และต้องพังทลายลง เพราะแผ่นดินไหว ถูกทอดทิ้งเป็นเวลา 900 ปี จึงถูกขายเป็นเศษเหล็ก ให้แก่ชาวเมืองซาราเซน เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการสงคราม
7) ประภาคารฟาห์โรห
คลิกรูปกลับด้านบนสถานที่ตั้ง เกาะฟาห์โรห์ เมืองอเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์ ปัจจุบัน ไม่เหลือซาก
        ประภาคารฟาห์โรห์ ตั้งอยู่บนเกาะฟาห์โรห์ในอ่าวหน้าเมืองอเลกซานเดรีย สร้างเมื่อประมาณ 280 ปี ก่อนคริสตกา โดยพระเจ้าปโตเลมีที่ 2 กษัตริย์แห่งประเทศอียิปต์ สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่สังเกตแก่ชาวเรือที่จะเข้าเมืองท่าอียิปต์ สร้างด้วยหินอ่อนสีขาวสลักลวดลายวิจิตรงดงาม สูงประมาณ 400 ฟุต บนยอดมีตะเกียงจุดไฟแก๊สขนาดใหญ่ ในสมัยนั้นอียิปต์เป็นประเทศที่เจริญในวิทยาการต่างๆใครๆก็ชอบที่จะติดต่อทำการค้าด้วย เหตุนี้จึงต้องสร้างประภาคารขึ้นจุดตะเกียงแก๊สตลอดทั้งคืน เพื่อให้ผู้ที่ไม่เคยเดินเรือใช้เป็นที่สังเกตจะได้ไม่หลง นอกจากนั้นแล้ว ยังใช้เป็นหอคอยไว้ดูข้าศึกที่จะมารุกรานอีกด้วย หลังจากเกิดแผ่นดินไหว ประภาคารนี้ก็พังทลายลงมาตั้งแต่ ค.ศ. 955 และถูกทำลายโดยสมบูรณ์ในช่วงศตวรรษที่ 14
2. สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง (อายุตั้งแต่คริสตศตวรรษที่ 5 - คริสตศตวรรษที่ 16)
        สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง ถูกจัดขึ้นและเป็นที่ยอมรับกันแพร่หลายในเวลาต่อมา หลังจากมีการตั้งข้อสังเกตว่า 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณแทบทั้งหมด ยกเว้นพีระมิดล้วนแต่เสื่อมโทรมเสื่อมสลายไปแล้วทั้งสิ้น คงเหลือแต่เพียงร่องรอยหลักฐานหรือแบบจำลองให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาเท่านั้น อันได้แก่
1) หอเอนเมืองปิซา
คลิกรูปกลับด้านบนสถานที่ตั้ง ประเทศอิตาลี ปัจจุบัน สามารถเข้าเยี่ยมชมได้
        หอเอนแห่งเมืองปิซา สร้างด้วยหินอ่อนสีขาว สูง 181 ฟุต มี 8 ชั้น แต่ละชั้นมีเสาหินอ่อนรองรับ ได้ลงมือสร้างเมื่อ ค.ศ. 1174 ไปเสร็จในปี ค.ศ. 1350 ใช้เวานานถึง 176 ปี ซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้างที่ใช้เวลาสร้างนานที่สุดในโลก พอสร้างเสร็จฐานก็ทรุดลงไปข้างหนึ่ง ทำให้เอียงออกไปจากเส้นดิ่ง 4 เมตร แต่ที่ไม่ล้มลงมา เพราะแรงที่จุดศูนย์ถ่วง เมื่อลากดิ่งลงมาไม่ออกนอกฐานจึงไม่ล้มยังทรงตัวอยู่ได้ และหอเอนเมืองปิซานี้ช่วยให้กาลิเลโอ นักวิทยาศาสตร์ ชาวอิตาเลียน ผู้มีชื่อเสียงของโลก ได้ทดลองความจริง เรื่องน้ำหนักของของที่ตกเป็นผลสำเร็จ
2) โคลอสเซียมแห่งโรม
คลิกรูปกลับด้านบนสถานที่ตั้ง ประเทศอิตาลี ปัจจุบัน สามารถเข้าเยี่ยมชมได้
        โคลอสเซียมแห่งโรม เป็นสนามกีฬากลางแจ้งที่ใหญ่โตที่สุดในสมัยโบราณ ตั้งอยู่ที่กรุงโรมประเทศอิตาลีพระเจ้าเวชเปเซียนทรงโปรดให้สร้างขึ้นในราว ค.ศ. 72 - ค.ศ. 80 สถานที่แห่งนี้พระเจ้าเวชเปเซียนเสด็จมาประทับทอดพระเนตรการแสดงกีฬาต่างๆในสมัยโบราณ ตัวสนามสร้างเป็นวงกลมก่อด้วยอิฐและหินขนาดใหญ่ วัดโดยรอบยาว 527 เมตร สูง 57 เมตร มี 4 ชั้นจุคนดูประมาณ 80,000 คน มีห้องใต้ดินสำหรับขังนักโทษ และสิงโต หลายร้อยห้อง ใช้เป็นสถานที่แสดงกีฬา ประลองฝีมือ ในเชิงฟันดาบของบรรดาเหล่าทาสให้ต่อสู้กันเอง และบรรดาเหล่านักโทษ ให้ต่อสู้กับสิงโตที่อดอาหาร ยิ่งถ้าต่อสู้กัน จนถึงสามารถฆ่าคู่ต่อสู้ตาย ก็จะได้รับเกียรติอย่างสูงเพราะเป็นการต่อสู้ที่ชาวโรมันนิยมและยกย่องกันมาก ปีๆหนึ่งต้องสูญเสียชีวิตนักโทษและทาสไม่ต่ำกว่าร้อยคน
3) สุสานแห่งอเลกซานเดรีย
คลิกรูปกลับด้านบนสถานที่ตั้ง เมืองอเลกซานเดรีย ประเทศอียิปต์ ปัจจุบัน สามารถเข้าเยี่ยมชมได้
        ที่ฝังศพแห่งอเลกซานเดรีย อยู่ที่เมืองอเลกซานเดรีย ประเทศอียิปต์ป็นอุโมงค์ใต้ดิน ใช้สำหรับเก็บทรัพย์สมบัติโบราณ เรียกว่า อุโมงค์คาตาคอมส์ เป็นอุโมงค์ที่สร้างด้วยหินก้อนใหญ่ๆและขุดลึกลงไปใต้ดินหลายชั้น ทางเดินกว้าง 3-4 ฟุต ตามช่องริมผนังอุโมงค์ขุดเป็นช่องลึกๆเข้าไป เพื่อใช้เป็นที่บรรจุพระศพของพวกศาสนาคริสต์
4) สุเหร่าเซ็นต์โซเฟีย
คลิกรูปกลับด้านบนสถานที่ตั้ง เมืองคอนสแตนติโนเปิลหรือ เมืองฮิสตันบูล ประเทศตุรกี ปัจจุบัน สามารถเข้าเยี่ยมชมได้
        สุเหร่าเซนต์โซเฟีย เป็นที่ประชุมสวดมนต์ของชาวมุสลิม ตั้งอยู่ที่เมืองคอนสแตนติโนเปิล(เมืองฮิสตันบูล ประเทศตุรกีในปัจจุบัน) สร้างเมื่อ ค.ศ. 532 พระเจ้าจักรพรรดิ์คอนสแตนตินเป็นผู้สร้างเพื่อเป็นโบสถ์ของศาสนาคริสต์แต่ถูกผู้ก่อการร้ายเผาเสียวอดวายจนถึงสมัยพระเจ้าจัสตินเนียนจึงได้สร้างขึ้นใหม่ เมื่อประมาณปี ค.ศ 1453 ในเนื้อที่ 700 ตารางเมตร ประกอบด้วยเสางามสลักอย่างวิจิตร 108 ต้น (ชั้นบน 68 ต้น ชั้นล่าง 40 ต้น) มียอดเป็นโดมคล้ายซาลาเปา มีหอมินาเรสท์เป็นยอดแหลมๆมากมายและประดับประดาด้วยสิ่งของมีค่าอย่างเหลือล้นจนถึงสมัยพระเจ้าโมฮัมหมัดที่ 2 ของตุรกีจึงเปลี่ยนแปลงโบสถ์ให้เป็นสุเหร่าทางศาสนาอิสลาม ปัจจุบันใช้เป็นพิพิธภัณฑ์
5) กำแพงเมืองจีน
คลิกรูปกลับด้านบนสถานที่ตั้ง ประเทศจีน ปัจจุบัน สามารถเข้าเยี่ยมชมได้
        กำแพงเมืองจีนหรือกำแพงยักษ์ เป็นกำแพงกั้นพรมแดนระหว่างประเทศจีนกับธิเบตเป็นกำแพงที่ยาวใหญ่มหึมา สร้างเมื่อ พ.ศ. 215 สูงจากพื้นดิน 20-30 ฟุต กว้าง 15-20 ฟุต ยาวประมาณ 1400 ไมล์ บนกำแพงทุก ๆ ระยะ 200 เมตร จะมีหอหรือป้อมสำหรับตรวจเหตุการณ์ สร้างสูงขึ้นไปอีก 3 เมตร ถึง 6 เมตร และมีระฆังแขวนเพื่อตีบอกสัญญาณเกิดเหตุไว้ประจำทุกหอรวมทั้งหมดมีไม่ต่ำกว่า 20,000 หอ เริ่มสร้างระหว่างปี พ.ศ. 300-329 (243-252 ปีก่อนคริสตกาล) ในสมัยพระเจ้าซี่วังตี่ใช้เวลาสร้างประมาณ 10 ปีเสียชีวิตมนุษย์นับพันเป็นสิ่งก่อสร้างชนิดเดียวในโลกที่สามารถมองเห็นเมื่อมองจากดวงจันทร์
6) เจดีย์กระเบื้องเคลือบนานกิง
คลิกรูปกลับด้านบนสถานที่ตั้ง เมืองนานกิง ประเทศจีน ปัจจุบัน สามารถเข้าเยี่ยมชมได้
        เจดีย์กระเบื้องเคลือบเมืองนานกิงเป็นเจดีย์รูปแปดเหลี่ยม สูง 9 ชั้น สูง 60 เมตร มีระฆัง 152 ลูกและโคมไฟอีกหลายร้อยผูกแขวนไว้ตามชายคาเวลาลมพัดมีเสียงดังไพเราะมาก จักรพรรดิ์หยุงโล้ได้จัดสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์เพื่อระลึกคุณมารดา เมื่อระหว่างปี ค.ศ. 1413-1442 กล่าวกันว่าบนยอดเจดีย์มีลูกบอลทำด้วยทองติดอยู่มีเหล็กวงแหวนล้อมรอบถึง 9 วง มีไข่มุกขนาดใหญ่ 5 เม็ดอยู่ที่ปลายเป็นเครื่องรางบอกความมีโชคชัยของกรุงนานกิงแต่เป็นที่น่าเสียดายที่บางส่วนถูกพวกกบฎไต้เผ็ง ทำลายเมื่อปี พ.ศ. 2396 (ค.ศ. 1853) เสียหายมากถึงกระนั้นก็ยังได้ชื่อว่าเป็นเจดีย์ที่ทำด้วยกระเบื้องเคลือบวิจิตรงดงามมีค่าสูงยิ่ง
7) กองหินประหลาดสโตนเฮนจ์
คลิกรูปกลับด้านบนสถานที่ตั้ง เมืองซัลลิสเบอรี่มณฑลวิลไซร์ ประเทศอังกฤษ ปัจจุบัน สามารถเข้าเยี่ยมชมได้
        ที่ทุ่งนาแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากกรุงลอนดอนออกไปประมาณ 90 ไมล์มีแนวหินเรียงราย ราวๆ 3 กิโลเมตรและมีกลุ่มหินใหญ่ประมาณ 30 ก้อนตั้งโดดเดี่ยวอยู่กลางทุ่งนาเป็นรูปวงกลม กว้าง 30 เมตรโดยไม่มีร่องรอยของความเป็นมาและไม่ปรากฏว่ามีการเคลื่อนย้ายสิ่งปรักหักพังในการก่อสร้างคาดว่าสร้างขึ้นตั้งแต่ก่อน ค.ศ. ประมาณ 2,000 ปี ซึ่งหิน 16 ใน 30 ก้อนที่ตั้งอยู่รอบนอกเฉลี่ยแล้วสูง 4 เมตร หนัก 26 ตัน
3. สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคปัจจุบัน (สร้างขึ้นระหว่างศตวรรษที่ 17 - ศตวรรษที่ 20)
1) ปราสาทหินนครวัตนครธม
คลิกรูปกลับด้านบน
สถานที่ตั้ง ประเทศกัมพูชา ปัจจุบัน สามารถเข้าเยี่ยมชมได้
        นครวัตเป็นสถาปัตยกรรมที่มหัศจรรย์ยิ่งสร้างขึ้นเมื่อประมาณ ค.ศ. 1643 กษัตริย์เขมรชื่อชัยวรมันที่ 2 ทรงสร้างขึ้นปราสาทนี้กว้างด้านละ 5 เส้น รอบ ๆ ปราสาทมีคู สร้างเป็น 3 ตอน ทางเข้าปราสาทด้านหน้าปูด้วยหินขนาดใหญ่มีราวกำแพงสลักเป็นพญานาคซุ้มประตูสร้างเป็นพระปรางค์ 3 ยอดผ่านประตูเข้าไปข้างในถึงตอนกลางเป็นปราสาทก่อเป็นพระปรางค์มี 5 ยอดมีภาพแกะสลักลงในเนื้อหินอย่างวิจิตรทุกส่วนสร้างด้วยศิลาแลง
        นครธมเป็นนครโบราณที่ประกอบไปด้วยปราสาทหินเป็นรูปสี่เหลียมจตุรัสมีคูเมืองกำแพง ป้อมปราการอันสวยงาม สร้างด้วยศิลาและหิน เนื้อที่ประมาณ 5500 ไร่
2) ทัชมาฮาล
คลิกรูปกลับด้านบน
สถานที่ตั้ง ประเทศอินเดีย ปัจจุบัน สามารถเข้าเยี่ยมชมได้
        ทัชมาฮาล เป็นสุสานฝังศพตั้งอยู่ที่ตอนโค้งของแม่น้ำยมนาฝั่งขวา เมืองอัคระ ประเทศอินเดีย ชาห์ชะฮานสร้างเป็นศรีสง่าแก่บริเวณพระราชวัง สำหรับเก็บศพมุมทัชมาฮาลพระมเหสี สร้างระหว่างปี ค.ศ. 1630-1648 ด้วยหินอ่อนสีขาวบริสุทธิ์ ศิลาแลง ประดับลวดลายเครื่องเพชร พลอยสีฟ้า หินสีฟ้า โมรา หินทองแดงหินลาย พลอยสีเขียว นอกจากนี้ยังมีเครื่องประดับที่ได้มาจากนานาประเทศที่เป็นมิตรซึ่งได้รับคำรับรองจากสถาปนิกทั่วโลกว่าสร้างขึ้นโดยถูกสัดส่วนและวิจิตรงดงามที่สุด กว้างยาวด้านละ 39 เมตร ตรงกลางมีโดมสูง 60 เมตร มีผู้ร่วมสร้างเป็นผู้ออกแบบ ช่างเขียนลวดลาย ช่างอิฐ ช่างปูน ช่างประดับลวดลายด้วยกระเบื้อง ช่างแกะสลัก ช่างตกแต่งภายใน รวม 20,000 คน การก่อสร้างกินเวลานานถึง 22 ปี ภายหลังที่สร้างทัชมาฮาลชาห์ชะฮานใฝ่ฝันที่จะสร้างที่ฝังศพตัวเองที่ฝั่งแม่น้ำตรงกันข้ามจะเป็นหินอ่อนสีดำล้วนๆแต่ลูกชายเกรงเงินจะหมดจะไม่มีใช้ เมื่อขึ้นครองราชสมบัติจึงจับพ่อขังอยู่ได้ 7 ปีก็สิ้นพระชนม์ ประมาณปี พ.ศ.2209(ค.ศ.1666) แล้วเอาศพไปฝังข้างศพแม่ ส่วนนายช่างผู้ออกแบบถูกสั่งให้ประหาร ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้มีโอกาสออกแบบสิ่งก่อสร้างใด ๆ ที่สวยกว่าได้ (รายละเอียดเพิ่มเติม)
3) พระราชวังแวร์ซายส์
คลิกรูปกลับด้านบน
สถานที่ตั้ง ประเทศฝรั่งเศส ปัจจุบัน สามารถเข้าเยี่ยมชมได้
        เป็นสถานโบราณอันมีคุณค่าและสวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 โปรดให้สร้างด้วยหินอ่อน เมื่อปี ค.ศ. 1661(พ.ศ. 2204) เสียค่าใช้จ่ายไปทั้งสิ้น 500 ล้านฟรังค์ สามารถจุคนได้ 10000 คน กินเวลา 30 ปี ใช้คนงาน 30,000 คน ภายในพระราชวังแบ่งออกเป็นห้องๆมีห้องบรรทม ห้องเสวย ห้องโถงสำหรับออกว่าราชการฯลฯ แต่ละห้องมีเครื่องประดับมีค่ามากมายทั้งวัตถุและภาพศิลปะ ห้องที่มีชื่อที่สุดคือห้องกระจกที่เคยใช้ลงนามเซ็นสัญญาสงบศึกในคราวมหาสงครามโลกครั้งที่ 1 เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ฝรั่งเศสเป็นฝ่ายแพ้ต่อเยอรมันจึงต้องประกาศให้ปารีสเป็นเมืองปลอดทหารไม่มีการต่อสู้ใดๆทั้งสิ้นจึงไม่มีการเสียหาย ทุกๆปีจะมีนักท่องเที่ยวไปชมความงามไม่น้อยกว่า 900,000 คน
4) เรือควีนแมรี่
คลิกรูปกลับด้านบนสถานที่ตั้ง เมืองลองบีช ประเทศสหรัฐอเมริกา ปัจจุบัน สามารถเข้าเยี่ยมชมได้
        เรือเดินสมุทร "ควีนแมรี่"ของอังกฤษลำนี้สร้างบนฝั่งแม่น้ำไคลด์ในประเทศสกอตแลนด์ หนักทั้งสิ้น 80,773 ตัน มีความยาว 300 เมตร สูง 54 เมตร เครื่องยนต์ขับเคลื่อนมีกำลังทั้งหมด 200,000 แรงม้า อัตราความเร็วชั่วโมงละ 30 นอต มีหม้อน้ำขนาดใหญ่ต้มน้ำ 400 ตันให้เดือดอยู่ทุกๆชั่วโมง บรรจุคนได้ประมาณ 2,000 คน บนดาดฟ้ามีที่ว่างทำสนามเล่นกีฬาได้ถึง 3 เอเคอร์ ภายในเรือมีร้านขายอาหาร สนามเด็กเล่น สำนักพิมพ์ เครื่องอำนวยความสะดวกครบครันเคยทำสถิติความเร็วโดยได้เดินทางจากเมืองท่าลิเวอร์พูล อังกฤษถึงเมืองท่านิวยอร์ค สหรัฐอเมริกาในเวลา 9 วัน
5) สะพานโกลเดนเกต
คลิกรูปกลับด้านบนสถานที่ตั้ง เมืองซานฟรานซิศโก ประเทศสหรัฐอเมริกา ปัจจุบัน สามารถเยี่ยมชมได้
        สะพานโกลเดนเกตเป็นสะพานที่มีช่วงยาวที่สุดในโลกทอดข้ามปากอ่าวทางตอนเหนือของเมืองซานฟรานซิสโก สร้างใน ค.ศ. 1937 ช่องกลางระหว่างตอม่อยาว 4200 ฟุตริมทั้งสองข้าง ยาวข้างละ 1125 ฟุต กว้าง 90 ฟุต สร้างเป็นแบบโครงแขวน แขวนอยู่บนหอคอยสูง 215 เมตรใช้เหล็กสายโยงขนาด เส้นผ่าศูนย์กลาง 36 นิ้ว ข้างละ 2 เส้น รวม 4 เส้น ยาว 107,000 ไมล์และยังมีเส้นลวดเล็กยึดสายโยงอีกรวม 27,572 เส้น มีทางรถยนต์ 6 ทาง ทางรถบรรทุก 3 ทาง ทางรถไฟ 2 ทาง สูงกว่าระดับน้ำประมาณ 66 เมตร
6) ตึกเอมไพรสเตรท
คลิกรูปกลับด้านบนสถานที่ตั้ง บนเกาะแมนฮัดตัน นิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกา ปัจจุบัน สามารถเข้าเยี่ยมชมได้
        ตึกเอมไพรสเตรทเป็นตึกที่สูงที่สุดในโลก ตั้งอยู่ที่ประเทศอเมริกา มีทั้งหมด 102 ชั้น สูงจากพื้นดิน 1248 ฟุต มีเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 2158000 ตารางฟุต จุคนได้25000 คน บนยอดสุดมีโดมสูงขึ้นไปอีก 60 เมตร จากชั้นล่างถึงชั้นที่ 86 มีโครงเหล็กเสริมอย่างดี คิดเป็นน้ำหนัก 730 ตัน เริ่มสร้างเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2472 สร้างเสร็จเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2480
7) ทำนบยักษ์ฮูเวอร์
คลิกรูปกลับด้านบนสถานที่ตั้ง หุบเขาแบลกแคนยอน ระหว่าง รัฐเนวาดา กับ รัฐอริโซนา ประเทศสหรัฐอเมริกา ปัจจุบัน สามารถเข้าเยี่ยมชมได้
        ทำนบโบลเดอร์หรือเขื่อนยักษ์ฮูเวอร์ เป็นทำนบที่สูงที่สุดในโลกกักเก็บน้ำในแม่น้ำโคโรลาโดไว้ใช้ตลอดปีสำเร็จมาตั้งแต่ พ.ศ. 2475 ตัวทำนบสูง 218 เมตร ฐานข้างล่างกว้าง 198 เมตร สันทำนบข้างบนกว้าง 13.5 เมตร ยาว 385 เมตร ใช้คอนกรีตเฉพาะสร้างตัวทำนบ 3,250,000 ลูกบาศก์หลาและส่วนอื่นๆอีก 4,400,000 ลูกบาศก์หลา มีเครื่องทำไฟฟ้าจากน้ำตกรวม 17 เครื่อง ให้กำลังไฟฟ้า 1,835,000 กิโลวัตต์ การสร้างทำนบมีจุดประสงค์เพื่อป้องกันอุทกภัย กักน้ำไว้ใช้ในการกสิกรรม สงวนพันธ์ปลา สร้างกระแสไฟฟ้าด้วยพลังน้ำ

วันศุกร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ปรัชญา...ความรัก 14 แบบ

 รูปสวย comment glitter emoticon
.. ปรัชญาความรัก 14 แบบ ..
1. A man overtime falls in love with woman he is attracted to,
and a woman overtime become more attracted to the man she loves.
ผู้ชายมักจะตกหลุมรักคนที่เค้าหลงเสน่ห์
และผู้หญิงจะหลงเสน่ห์คนที่เธอตกหลุมรัก
2. Friendship is love minus sex and plus reason LOVE is friendship
but love is friendship plus sex and minus reason.

มิตรภาพคือ ความรักลบด้วยเซ็กซ์
และบวกเอาเหตุผลเพิ่มเข้าไป
ส่วนรักคือ มิตรภาพบวกด้วยเซ็กซ์ และลบเอาเหตุผลออกไป
3.To love is nothing. To be loved is something.
To love and be loved is everything!!!!

การได้รักเป็นเรื่องขี้ผง
การถูกรักเป็นเรื่องของอะไรบางอย่าง
ส่วนการได้รักและการถูกรักเป็นทุกอย่าง (ว้าว)
4.You may only be one person to the world
but you may also be the world to one person

คุณอาจจะเป็นแค่ "คนๆ หนึ่ง" ในโลกใบนี้
แต่คุณอาจจะเป็น "โลกทั้งใบ" ของคนคนหนึ่งก็ได้
5.You know when you love someone when you want them to be happy
even if their happiness means that you're not of it.

คุณรู้ว่าคุณรักเค้าก็ต่อเมื่อคุณต้องการให้เค้ามีความสุข
แม้ว่าความสุขนั้นจะหมายถึง
การที่คุณไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของมัน
6. Love looks not with eyes, but with the mind. ความรักนั้นเห็นไม่ได้ด้วยตา แต่สัมผัสได้ด้วยใจ
7. Love is like standing in the wet cement.
The longer you stay, the harder it is to leave.
And you can never go without leaving your shoes behind.
ความรักก็เหมือนปูนเปียกๆ
ยิ่งคุณอยู่นานเท่าไหร่ก็ยิ่งติดหนึบ
จากไปไม่ได้เท่านั้น
และคุณจะไม่มีวันจากมาได้เลย
โดยที่ไม่ได้ทิ้งรองเท้าไว้ข้างหลัง
8. Don't marry a person you can live with,
marry somebody you can't live without.

จงอย่าแต่งงานกับคนที่คุณ "อยู่ด้วยได้"
จงแต่งงานกับคนที่คุณ "ขาดไม่ได้"
9. If you love someone tell them don't wait or also
you will lose the chance.
ถ้าคุณรักใคร บอกเค้าซะ อย่ารีรออยู่เลย
ไม่งั้นคุณจะเสียโอกาสนะ..
10. It only takes a second to say " I love you"
but it will take a lifetime to show you how much.
ใช้เวลาแค่เพียงชั่ววินาทีในการบอกว่า" ฉันรักเธอ"
แต่ใช้เวลาตลอดชีวิตในการแสดงให้เห็นว่า รักมากเพียงไร?
11. The essential sadness is to go through life without loving.
But it would be almost equally sad to leave this
world without ever telling those you loved that you love them.

ความเศร้าที่สำคัญคือการใช้ชีวิตโดยปราศจากความรัก
แต่มันคงจะเศร้าพอๆกันที่จะจากโลกนี้ไปโดยไม่ได้บอกคนที่คุณรักว่า
"คุณรักพวกเค้า"
12. A man falls in love through his eyes,
a woman through her ears.
ผู้ชายตกหลุมรักทางตา
แต่ผู้หญิงน่ะ ตกหลุมรักทางหู
13.To love is to risk not being loved in return.
To hope is to risk pain.
To try is to risk failure,
but risk must be taken,
because the greatest hazard in life is to risk nothing.
การที่ได้รักคือการเสี่ยงว่าจะไม่ได้รับความรักเป็นการตอบแทน
การตั้งความหวังคือการเสี่ยงกับความเจ็บปวด
การพยายามคือการเสี่ยงกับความล้มเหลว
แต่ยังไงก็ต้องเสี่ยง
เพราะสิ่งที่อันตรายที่สุดในชีวิตก็คือการไม่เสี่ยงอะไรเลย
14. When loving someone.. never regret what you
do. only regret what you didn't do.

เวลารักใคร..อย่าเสียใจในสิ่งที่คุณได้กระทำ
จงเสียใจในสิ่งที่คุณไม่ได้กระทำ…..